เปิดบริการทุกวัน Open Daily 7.00 -19.00

เปิดบริการทุกวัน Open Daily 7.00 -19.00

๒๗ มีนาคม ๒๕๕๒

Ankylosing Spondylitis and HLA -B27

เริ่มกันด้วยภาพสวยๆ มุมกล้องอะตอม และของผมเอง
ใครถ่ายอันไหนจำไม่ได้หละ

เป็นดอกหญ้าข้างถนนในประมงพะเยาครับ
เราถ่ายมานิดหน่อยระหว่างเดินออกกำลังกาย ช่วงหลังเทศกาลหนังสั้นไม่กี่วัน










ผ่านเรื่องงามๆไปแล้ว มาดูเรื่องไม่ค่อยงามครับ
23/03/2552

วันเกิดทั้งที แทนที่จะได้ไปวัด กลับต้องไปคลีนิคแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่
เหตุที่ต้องถ่อสังขารมาถึงเชียงใหม่นั้นก็จะพบกับ ศ.นพ.วรวิทย์ เลาห์เรณู แห่งภาควิชาอายุรศาตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาลัยเชียงใหม่ เพื่อปรึกษาอาการเจ็บข้อเท้า ปวดเข่า ที่เป็นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน

บันทึกช่วยจำ

ตุลาคม 2551
หลังจากที่เดินทางกลับจากสิบสองปันนา ผมเริ่มมีอาการปวดหลังเวลาตอนเช้า ต่อมาเริ่มปวดหัวเข่าด้านขวา ผมใช้วิธีแก้ปัญหาที่ใช้มาทุกครั้งที่ปวดหลังปวดเอวนั่นคือ ไปนวดที่วัด ปกติทุกครั้งจะหาย แต่ครั้งนี้หลังการนวด ผมกลับรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าด้านขวา และสังเกตุว่ามันนูนขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำก็ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องเริ่มคลานลงบันไดบ้านตัวเอง และเดินกระแผลกอยู่ได้ สาม สี่วันก็ตัดสินใจไปหาหมอซะที

ธันวาคม 2551
นพ.ปราโมชย์ นาวิศิษฏ์

ที่คลีนิค หมอถามอาการผมซักนาทีกว่า และลองๆกดขาผมดูและบอกว่า กระดูกดีอยู่ อักเสบนิดหน่อย จะฉีดยามั้ย? ผมปฏิเสธว่า ไม่หละครับ พอทนได้อยู่ ได้ยาแก้อักเสบมา 1 ซอง ยากระเพาะ 1 ซอง ในราคาสองร้อยห้าสิบบาท ก่อนไปถามหมอปราโมทย์ว่า เก้าท์รึเปล่าครับ หมอว่าไม่ใช่เด็ดขาด เพราะไม่บวม ไม่แดง

กินยาไปแรกๆก็ดีขึ้นมาก ดุจได้โอสถทิพย์ แทบจะหายปวดในบัดดล แต่ผ่านไปซักพัก ยาเริ่มหมดผมก็เริ่มปวดอีก จึงตัดสินใจจะไปหาหมอปราโมทย์อีกครั้ง

ปีใหม่ 2552

ช่วงเดือนก่อน พี่ประนอม เด็กที่ช่วยงานที่บ้านขอลาออก เหตุเพราะเธออยากไปดูแลสามีเธอที่ติดเหล้าและเริ่มมีอาการประสาท ผมเลยต้องทำหน้าที่เช็ดถูบ้านทุกวัน ช่วงนั้นเหนื่อยกันมากทั้งแม่และผม และจากการก้มๆเงยถูดพื้น ก็ทำให้อาการผมกำเริบขึ้นมาจนเริ่มเดินขาลาก

หลังปีใหม่ไม่นาน พ่อขับรถไปส่งผมหาหมอปราโมทย์ ระหว่างขับรถไปเห็นคลีนิคเปิดใหม่ เป็นคลีนิคหมอตะวัน เฉพาะทางด้านกระดูก ก็เลยตัดสินใจลองแวะชิมดู เหมือนลองก๋วยเตี๋ยวร้านใหม่

5 มกราคม 2552
น.พ.ตะวัน ถึงแก้ว

ที่คลีนิคหมอตะวันดูอาการเบื้องต้น สัณนิฐานไว้สองสามอย่าง คือ โรครูมาตอย โรคเก้าท์ อาการกระดูกงอกที่ส้นเท้า หรืออักเสบทั่วไป หมอตะวันแนะนำให้ผมไปเอ็กเรย์และตรวจเลือดที่ ร.พ.พะเยา และพบกันในวันอังคาร (คลีนิคโรคกระดูกใน ร.พ. พะเยาเปิดทำการวันอังคาร (หมอตะวัน) วันพฤหัส (หมออนันต์)

เหตุผลที่สำคัญคือ ผมจะได้ใช้สิทธิรักษาฟรีกับ ร.พ. พะเยาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินในคลีนิค และการปรึกษาในครั้งนั้นแกก็ไม่คิดเงินแต่ประการใด ผมยกมือไหว้แกด้วยความขอบคุณและซาบซึ้งใจ รู้สึกว่าได้พบหมอที่มีน้ำใจงามและรู้สึกชื่นชมข้างในลึกๆ แกโน้ตเป็นภาษาหมอสั่งพยาบาลในเศษกระดาษ ให้ตรวจเลือดหารูมาตอย หาค่ากรดยูริค เอ็กเรย์ข้อเท้า แกเอากระดาษให้ผม บอกว่าเอาให้พยาบาลด้วย

วันอังคารที่ 6 มกราคม 2551
7.00 น. โรงพยาบาลพะเยา

ผมแหกตาตื่นแต่เช้าตามคำแนะนำของหมอตะวัน ผมมารับบัตรคิวเพื่อรับการจำแนกผู้ป่วย คิวที่ผมได้รับคือคิวที่ 101 นี่ขนาดมาเช้าแล้วยังได้คิว 101 ไม่เป็นไร ผมนั่งรอด้วยความอดทน ช่วงเช้าๆ เจอเด็กวิทยาลัยพยาบาลที่ผมเคยสอนเมื่อเทอมที่แล้วทักทายเป็นระยะ

ผมถือโอกาสถามวิธีการ ขั้นตอนของโรงพยาบาล เพราะครั้งสุดท้ายที่ผมได้ไป ร.พ. คือตอนที่ผมต้องตรวจสุขภาพก่อนไปอินเดียเมื่อปี 2544 นั่นแล้ว
ผมนั่งรอไปเรื่อยๆ แม้อุตส่าห์เตรียมไอพอดมาเพื่อฟังเพลงรอ แต่เอาเข้าจริงเราต้องมีสมาธิ ในการเงี่ยหูฟังพยาบาลเรียกชื่อเราตลอด จนแปดโมงกว่าๆ ผมเริ่มร้อนใจ จึงเข้าไปสอบถามคนอื่นๆว่าคิวตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว และก็พบว่า ตอนนี้คิวไปที่เลข 200 กว่าๆแล้ว

แปลว่าตอนนี้ มีคนเลยคิวผมไปตั้งร้อยคนแล้วว!! ผมเข้าไปบอกพยาบาลที่เคาเตอร์และได้รับ คำชี้แจงว่า บางทีมันก็เกิดเหตุเช่นนี้ได้ อาจจะเพราะผมย้ายที่อยู่จาก อ.แม่ใจ มาอยู่สังกัด อ.เมืองก็เป็นได้ทำให้ต้องค้นหานานหน่อย ผมบอกพยาบาลอย่างสุภาพว่า แล้วเราจะมีบัตรคิวไปหาพระแสงอะไรกันเล่าครับ ?

จริงๆ ...ผมไม่กล้าพูดหรอกครับ แต่ชาวบ้านที่นั่งใกล้ๆผมนั้นจับกลุ่มพูดถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดของพวกเค้าว่า โรงพยาบาลพะเยา เป็นโรงพยาบาลที่มีระบบ......เพียงแต่ระบบที่ว่ามันไม่ได้เป็นระบบเท่านันเอง (เห็นด้วยเลยป้า)

9.12 น.
ผมได้รับการเรียกชื่อแล้ว จึงมารอคิว อีก 5 นาทีเพื่อจะนั่งให้พยาบาลสอบถามอาการ เพื่อจำแนกคนไข้ว่าจะต้องไปไหนบ้าง ผมมีโน้ตของหมอตะวันว่าให้เจาะเลือดหารูมาตอย และเอ็กเรย์ข้อเท้าแล้ว จึงยื่นให้กับพยาบาล พยาบาลบอกให้ผมไปที่ห้องกระดูกเพื่อรับบัตรคิว และให้พยาบาลในห้องกระดูกสั่งให้พบไปเจาะเลือดและเอ็กเรย์อีกที!!

9.30 น.
ณ.ห้องกระดูก โรงพยาบาลพะเยา สภาพในห้องทำการ มีเก้าอี้กว่า 20 ตัว หน้าห้องมีเก้าอี้ติดกำแพงกว่า 10ตัว ทุกตัวมีคนนั่งหมด หน้าห้องกระดูกนั้นเต็มไปด้วยคนขาหัก นั่งรถเข็ญยืนรอ ออกันเต็มไปหมด

ผมเอาใบที่ได้จากพยาบาลผู้จำแนกผู้ป่วยไปเสียบบนโต๊ะ แล้วมายืนด้านนอกร่วมกับเด็กขาหัก และลุงแขนหักอีกสองคน ข้างๆผมยายที่นั่งล้อเข็ญยิ้มให้ผมด้วยไมตรีจิต บรรยากาศตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงค่ายอพยพผู้ลี้ภัยสงคราม

รอบข้างผมเต็มไปด้วยคนบาดเจ็บ ผมเองก็เดินกระเผลกๆแล้ว แต่ก็ต้องยืนรอพยาบาลเรียกเข้าไป


ยืนไปนานจนเริ่มรู้สึกเวียนๆ เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเช้า ด้วยเหตุที่การตรวจกรดยูริค เราต้องงดทั้งน้ำและอาหาร แต่ไม่นึกว่าจะต้องรอนานปานนี้ ตอนนั้นเริ่มเข้าใจเด็กหิวโหยในอูกานด้าที่ป่วย แล้วต้องรอรักษากับแพทย์ของสหประชาชาติ

อีกใจหนึ่งก็นึกดีใจที่ได้มาเห็นสิ่งที่มันเป็นจริงๆในประเทศของเรา

ได้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องเผชิญกับความลำบากอย่างไรกว่าจะได้เข้าถึงบริการของรัฐ แรกๆผมเห็นว่าเมืองไทยนั้นดีหนักหนาที่มีสวัสดิการรักษาฟรี แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่ฟรีแบบเท่าเทียมกันหมด เรายังมีฟรีแบบข้าราชการ ฟรีแบบประกันสังคม ฟรีแบบประชาชนธรรมด้า ธรรมดา นี่เป็นคงศักดินารูปแบบใหม่

คิดได้ดังนั้นก็น้อยใจเล็กน้อยที่เราเป็นคนที่ต้องใช้บริการฟรีแบบล่างสุด เป็นความดีใจปนๆกันระหว่างดีใจกับสมเพชใจ


10.45 น.
ชั่วโมงกว่าผ่านไป ในที่สุดพยาบาลก็เรียกชื่อผมซะที ผมเดินโซเซไปหาพร้อมบอกว่าได้เจอหมอตะวันที่คลีนิคแล้ว และหมอก็แนะนำให้มาเจาะเลือดและเอ็กเรย์ พยาบาลจึงบอกให้ผมไปเจาะเลือดที่ห้องเจาะ หาข้าวกิน และเอ็กเรย์แล้วกลับมาที่นี่อีกตอนบ่ายๆ

ที่ผมงงก็คือ ทำไมพยาบาลผู้จำแนกคนแรกไม่ส่งผมไปห้องเอ็กเรย์ หรือเจาะเลือดก่อนเลย ทั้งๆที่รู้ว่าผมต้องไปเข้าคิวเอ็กเรย์และเจาะเลือดอีก

ทำไมผมต้องยืนรอชั่วโมงกว่าๆ เพื่อให้พยาบาลในห้องกระดูกบอกว่า เดี๋ยวให้น้องไปเจาะเลือดและเอ๊กเรย์ที่ห้องนั้น ห้องนี้ (ถ้าข้ามขั้นตอนนี้ได้เราก็สามารถประหยัดเวลาไปแล้วกว่า 1 ช.ม.)

11.45 น.
นั่งรอหน้าห้องตรวจเลือดอีกเกือบชั่วโมง

ยายข้างๆชวนกินข้างหลาม ผมกลืนน้ำลายด้วยความหิวแล้วบอกยายด้วยเสียงแผ่วๆว่า ...หมอยังไม่ให้ผมแดกอะไรครับ (จริงๆผมบอกยายว่าเจาะเลือดแล้ว ผมจะมากินทั้งยายทั้งข้ามหลามเลย หิว)

ในที่สุดเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ ก็เรียกผมเข้าไปก่อนเวลาพักเที่ยงเล็กน้อย เขาให้ผมบีบลูกบอลนิ่มๆ และบอกกับผู้ช่วยว่า ตรวจรูมาตอยต้องใช้เลือดเยอะหน่อย ว่าแล้วเข็มขนาดใหญ่ก็ปรากฎต่อหน้าผม ผมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมเบือนหน้าหนีไปมองยายกำลังกินข้าวหลามหน้าห้องตรวจ

ผมต้องรับผลตรวจตอน บ่ายสองโมง ระหว่างนี้ให้ผมไปเอ็กเรย์ก่อนแต่ว่า ตอนนี้พักเที่ยงแล้ว ไม่มีใครทำงาน ผมเดินโซเซเข้าเซเว่นอีเลฟเว่น สั่งกุ้งอบวุ้นเส้น ปลาเผา ไก่ย่างสามรส ทอดมันปลากราย
แฮะๆ ล้อเล่นคับ ผมหยิบขนมโดรายากิ ตราโดเรมอน 10บาท 1 ชิ้น กับน้ำมังคุด 1 กล่องนั่งกินหน้าห้องเอ็กเรย์ รอเจ้าหน้าที่เสด็จกลับเข้าทำงานกัน

13.30 น.
ผมได้ขึ้นไปรอคิวเอ็กเรย์ พร้อมกับผู้ป่วยขาหัก แขนหัก สามสี่คน รอหน้าห้องเอ็กเรย์อยู่นาน จนรังสีเอ็กซ์ เริ่มฉาบไล้ไปทั้งตัว

ผมไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเอ็กเรย์แค่ ตีน

นาทีแรกที่เห็นเครื่องเอ็กเรย์ มันไม่มีส่วนไหนที่เหมือนกับเครื่องถ่ายเอกสาร หรือสแกนเนอร์ที่ผมใช้ในบ้านซักนิด มันเป็นเรื่องใหญ่ๆ ปล่อยแสงผ่านอวัยวะเพื่อให้ไปตกกระทบฟิล์มข้างใต้อีกที

กลับมานั่งรอผลเอ็กเรย์ ซักพัก เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกไปฟังผลอ่านฟิล์มก็พบว่า เจ้าหน้าที่ถ่ายผิด
หมอจะดูส้นตีนด้านข้าง ไอ้เจ้าหน้าที่ดันไปถ่ายด้านบนตีน ...เฮ้อ.... ผมต้องเดินกลับขึ้นไปรอคิวถ่ายเอกสารตีนอีกรอบ โวยวายก็ไม่ได้ ผมประชาชนธรรมดาครับ ทนๆรับรังสีเข้าไป เป็นมะเร็งแล้วค่อยมารักษาฟรีอีกรอบ

ถ้าผมเป็นผู้ว่า ผมคงยืนกอด อก พูดเบาๆว่า ทำไมพวกคุณสะเพร่ากันอย่างนี้ ....หือ?
ไป....ไป เรียกหัวหน้าคุณมาเดี๋ยวนี้ ! (แต่ผู้ว่าคงไม่มารักษาในโรงบาลแบบนี้หรอก ไม่เคยเห็นผู้ว่ามานั่งรอคิวทำอะไรซักที ไปไหนมีแต่รถนำ ไฟแดงคงยังไม่เคยติด)

14.30 น.
ผมเดินย่องแย่งไปรับฟิล์มเอ็กเรย์และเขย่งๆไปรับผลเลือด แล้วก็ลากขากลับไปที่ห้องกระดูกอีกครั้ง ประชาชนธรรมดาเหยื่อสงครามยังยืนออเต็มหน้าห้องเหมือนเดิม ผมยื่นผลตรวจเลือดและฟิล์มเอ็กเรย์แลกกับบัตรคิวหมายเลข 87 แล้วกลับไปยืนรอหน้าห้อง

จะบ่ายสามแล้ว ผมมาโรงพยาบาลตั้งแต่ 7.00 น. เป็นความผิดผมเอง เพราะหมอตะวันบอกผม วันก่อนว่า ใ ห้ผมมาประมาณ 6.00 น. เพื่อรับบัตรคิว ผมดันตื่นสายไปหน่อย มาเสีย 7.00 น. แถมวันก่อนหมอยังบอกอีกว่า 15.00 น. ผมจะต้องไปรับลูกที่ ร.ร. ด้วย ผมยืนภาวนาให้ทันได้เจอหมอก่อนไปรับลูกด้วยเถอะ ผมไม่อยากมาวันพรุ่งนี้อีก

เป็นเก้าท์ (มั้ง?)

ในที่สุด คิวผมก็มาถึง หมอดูผลแล้วพบว่า ค่ายูริคผมปกติ คืออยู่ที่ 5.6

ผลรูมาตอย เป็น ลบ นั่นคือไม่มี

ผลเอ็กเรย์ตีนก็ไม่พบกระดูกงอกแต่อย่างใด

แต่หมอก็วินิจฉัยแบบไม่ค่อยมั่นใจว่า คงจะเป็นเก้าท์หนะ

แกถามผม ลองกินยาเก้าท์มั้ย?

ผมก็ถามว่า ไม่มีเอ็ฟเฟคหรือครับหมอ

หมอบอกไม่มี .... เอาครับลองกินยาเก้าท์ดูก็ได้

ตอนนั้นผมเองก็เชื่อว่าผมอาจจะเป็นเก้าท์ เพราะอากงผมเป็นเก้าท์ และช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมก็ยัดไก่เข้าไปมากพอดู หมดเวลา 5 นาที หมอนัดอีกครั้งวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อติดตามอาการ

รับใบสั่งยา แล้วไปยื่นที่ช่อง 13 นั่งรออีกเกือบ 40 นาที

ชื่อผมจึงถูกประกาศ เพื่อไปรับยาถุงใหญ่โครต
เป็นยาสำหรับกินหนึ่งเดือน มียาเคลือบกระเพาะ ยาฟีเน็กแก้อักเสบ ยาโคซิซิน แก้เก้าท์ ยาพาราแก้ปวด และยากระเพาะแบบเคี้ยวเวลาแสบท้อง

นี่ขนาดยาไม่มีเอ็ฟเฟ็คนะครับ รับยาเสร็จผมถามเจ้าหน้าที่ว่าแล้วจ่ายตังค์ที่ไหนครับ เพราะตอนนั้นผมเข้าใจว่าอาจจะต้องเสีย 30 บาท เพราะบัตรสีทองผมเขียนว่า 30 บาท เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ต้องเสียเงินแลวครับ วูบนั้นผมรู้สึกขอบคุณรัฐบาลที่ใจป้ำ และเห็นหัวคนจนอย่างผม

แต่...ท่านผู้อ่านที่รักครับ มาคิดดู ผมใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมงเพื่อจะได้พบหมอ เพื่อจะคุยกัน 5 นาที แล้วมานั่งรออีกกว่าชั่วโมง เพื่อรับยา

16.40 น.
ผมกลับมาร้านนอร์บูลิงการ์ด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ไม่วายก็บอกแม่ด้วยความภูมิใจว่า ฟรีหมดเลยนะแม่เดี๋ยวนี้ ดีจังเลยเนอะ แต่แม่กลับบอกว่า ทำไมไปนานจัง ...ผมบอก แค่ได้เจอหมอก็บ่ายสามแล้ว...ยังดีที่เจอหมอที่คลีนิคก่อน ไม่งั้นผมก็ต้องเจอหมอแล้วกลับมาอดข้าวอดน้ำเพื่อไปตรวจอีกในวันพรุ่งนี้แน่ๆ

9 กุมภาพันธ์ 2552 (ตรวจเลือดที่แล็ปเอกชน)

ช่วงแรกที่ทานยาอาการทุกอย่างดีขึ้น ผมไม่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะยาแก้ปวดที่กินทุก 4 ชั่วโมงหรือเปล่า และเมื่อทานต่อเนื่องไปได้ 6-7 วัน ผมเริ่มมีอาการท้องเสีย และท้องเสียหนักมากขึ้นในช่วงวันที่สิบ

มาทราบภายหลังจากลูกค้าที่เป็นเภสัชกรว่า ยาเก้าท์ที่ชื่อ โคซิซิน มีผลข้างเคียงทำให้ผู้ปว่ยที่แพ้มีอากรท้องเสียได้แต่พบไม่มากนัก (หมอบอกผมว่าไม่มีเอ็ฟเฟ็ค ผมเลยลองดู)

ผมลองหยุดยาทุกอย่าง และพบว่า ผมปวดมากเหมือนเดิมในตอนเช้า ก็เลยทนท้องเสียแล้วกลับไปกินยา แต่ลึกๆผมยังสงสัยว่า ผมเป็นเก้าท์จริงหรือเปล่า?

ด้วยสังหรณ์ใจ จึงไปตรวจเลือดอีกครั้ง หลักใหญ่ใจความก็อยากรู้ระดับกรดยูริคว่าปกติหรือไม่
ครั้งนี้เลยขอตรวจทั้งระบบเพื่อดูองคาพยพร่างกายทั้งหมด

ผลปรากฎว่า ค่ากรดยูลิคนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม คือปกติ แต่ระดับไขมันในเส้นเลือดนั้นไปอยู่ที่ 347
ไขมันเลวอยู่ที่ 245 ส่วนไขมันดีนั้นมีเพียงแค่ 32 เจ้าหน้าที่ที่แล็ปแนะนำไปพบหมอ ด่วน


10 กุมภาพันธ์ 2552 (นัดครั้งที่1)
8.30 น. โรงพยาบาลพะเยา ห้องกระดูก

แม้วันนี้หมอจะนัด ผมก็ดันตื่นสายอีกตามเคย ผมรีบไปที่ห้องกระดูก และเอาใบนัดเสียบไว้บนโต๊ะ วันนี้แม้มาสาย แต่ก็พบกับพยาบาลที่เป็นลูกค้าร้านกาแฟผม เธอเข้ามาถามว่าเอาใบนัดใส่ตระกร้าหรือยัง ผมบอกใส่แล้วครับ แป๊ปเดียว... พยาบาลก็เรียก ผมขอวัดความดันด้วยพบค่าความดันคือ 147/110 นับว่าสูงทีเดียวสำหรับคนอายุเท่าผม

พยาบาลให้บัตรคิวลำดับที่ 28 แก่ผม ทั้งที่ขณะนั้นคิวตรวจไปอยู่ที่ 67 แล้ว แปลว่าผมเข้าไปพบหมอได้เลย และผมก็เข้าใจว่า วันแรกที่ผมต้องรอนานมากนั้น เป็นเพราะมีคนที่เขารู้จักกันดี คอยข้ามคิวไปเรื่อยๆ ทำให้คนรอก็รอแล้วรอเล่าอยู่อย่างนั้น

ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนักที่ต้องแซงคิวคนแก่ คนขาหักที่ยืนรอข้างนอก แต่ถ้าจะให้ปฏิเสธก็คงเสียน้ำใจกับพยาบาลไม่น้อย เพราะเขาอุตส่าห์ช่วยเหลือเราให้ได้รับบริการเร็ว

แป็ปเดียวผมก็มานั่งหน้าหมอตะวัน ผมบอกว่าผมท้องเสีย แต่อาการโดยรวมดีขึ้น หมอบอกท่าจะเป็นเก้าท์จริง และให้ผมกินยาต่อไปอีก 1 เดือน ผมเลยปรึกษาเรื่องผลเลือดที่มีค่าคอเรสเตอรอลสูง
หมอได้ทำการส่งต่อตัวผมไปให้แพทย์อีกท่านหนึ่ง ในอีกแผนกหนึ่ง

เมื่อเข้าไปหาหมออีกท่าน หมอก็ส่ายหัวพร้อมบอกให้ผมลดอาหารทอด มัน เค็ม กินผัก ปลา ข้าวกล้อง และผมก็ได้ยาลดความดัน และยาสลายไขมันในเส้นเลือดมาอีกหนึ่งชุดใหญ่ พร้อมยาเก้าท์ชุดเดิมทุกประการ

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ผมลดยาแก้ปวด และฟีเน็กลงบ้าง กินแต่ยาโคซิซิน

10 มีนาคม 2552 (นัดครั้งที่2)
6.00 น.
โรงพยาบาลพะเยา ห้องกระดูก นัดคราวนี้ผมตั้งใจมาแต่เช้าเพื่อจะมาเอาคิวอันดับ 1 มาตั้งแต่ห้องยังไม่เปิดและไม่มีใครอยู่หน้าห้อง นั่งคนมีคนทยอยมาแล้วฝากใบนัดที่เรา จนเรากลายเป็นเจ้าหน้าที่ถือบัตร ได้พูดคุยกับผู้เฒ่ามากมายที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก กระเดี้ยว

8.00 น.
มีเจ้าหน้าที่มาเปิดห้องแล้ว มีพยาบาลเดินเอาที่เสียบบัตรนัดมาให้ด้วย เราก็บรรจงเสียบเข้าไป แต่สังเกตุเห็นว่า มีบัตรนัดเสียบก่อนอยู่แล้วสาม สี่ใบ แปลว่ามีคนขอให้พยาบาลจองคิวให้ก่อนแล้ว เริ่มสายคนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราต้องลุกให้เด็กแขนหักคนหนึ่งนั่ง เพราะที่เหลือเขาเป็นคนแก่มากกันหมด มีแต่เราที่พอยืนได้ ยืนรอจนเกือบเก้าโมง หมอผู้เป็นความหวังของทุกคนก็เข้ามาในห้อง ดวงตาทุกคนเริ่มมีประกายความหวังระยิบ

ผมสร้างสถิติมาคนแรกและได้ตรวจคนแรก เป็นครั้งแรก แต่เมื่อได้นั่งต่อหน้าหมอ หลายอย่างที่อยากถามมันก็ไม่ได้ถามออกไป แต่ผมได้แจ้งหมอว่า อาหารที่มีผลต่อเก้าท์ไม่ได้มีผลต่อผมซักเท่าใด ผมเลยสงสัยว่า ตกลงผมเป็นเก้าท์จริงหรือไม่

หมอไม่ชักช้า บอกว่าจะให้ลองกินยาเหมือนเดิมไปอีก 1 เดือน แล้วค่อยลองเลิกยาดู พร้อมกับชับด้วยว่า ฟีเน็กเม็ดเหลืองนั้นขอให้ลดมาจากวันละ 3 เม็ดเป็นไม่เกินวันละเม็ดเท่านั้น

สามนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกวูบๆว่า แค่นี้หนะเหรอ? ไปรอรับยาพักใหญ่และได้กลับบ้านเกือบสิบโมง เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ได้กลับเร็ว ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง ได้คุยกะหมอถึง 3 นาที และไม่มีอะไรใหม่ด้วย เฮ้อ....ผมเริ่มไม่รู้ทำไง

กลับมาบ้านผมเริ่มลดยา ทานแต่ความดัน ละลายไขมัน และ โคซิซิน (แก้เก้าท์เท่านั้น)
อาการผมทรงๆไปอย่างนั้นตลอดเวลาหลายเดือน และเมื่อลดฟีเน็กอาการปวดก็กลับมาทุกๆเช้า
และหลังจากนั่งนานๆที่ใดที่หนึ่งแล้วเดินก็จะปวดข้อเท้า

20 มีนาคม 2552

วันนี้มีญาติพี่เขยผมมาเยี่ยมที่ร้าน คนหนึ่งเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลสวนดอก เขาได้มาดูอาการและแนะนำให้ผมไปหาอาจารย์หมอคนหนึ่งที่เชียงใหม่ เราวางแผนไปเชียงใหม่กันวันอาทิตย์ที่22มีนาคม แต่เมื่อโทรไปปรากฏว่าคลีนิคปิด ดังนั้นจึงเลื่อนไปวันที่ 23 มีนาคม ซึ่งเป็นวันเกิดผมแทน

23 มีนาคม 2552 (วันเกิด)
และนี่คือที่มาทั้งหมดว่า
แทนที่จะได้ไปวัดทำบุญ ผมก็ต้องมาหาหมอ

16.30 น. หน้าคลีนิคหมอวรวิชญ์ ผม แม่ พี่สาว ยืนรอกันหน้าคลีนิคที่ปิดประตูอยู่ รอซักพักมีเจ้าหน้าที่มาเปิดประตู พวกเราจึงเข้าไปรอหมออยู่ข้างใน ผมได้คิวเป็นคิวแรก นั่งรอหมอจนกระทั่ง 18.05 น. หมอก็เข้ามา ซักพักก็เรียกผมเข้าไป

ผมร่ายให้ฟังถึงอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่พูดพล่ามทำเพลง หมอถามผมทันที เคยตาแดงมั้ย? หนังศรีษะแห้งมั้ย? ปัสสาวะขัดหรือแสบหรือไม่? ซักพักหมอวัดความดัน ดูการเต้นของหัวใจ กดบีบทั่วร่างกาย ทุบหลังผมลงมาเรื่อยๆ กดหัวเข่าจนไปถึงข้อเท้า เอาไฟฉายส่องตา ส่องปาก พลิกดูหนังศรีษะบนหัวผม

หมอถอดหูฟัง และพูดกะผมว่า ผมไม่ค่อยแน่ใจนะ แต่ดูท่าคุณน่าจะเป็นโรคในกลุ่มข้อและกระดูกสันหลังอักเสบ และติดยึดนะ ผมอยากให้คุณไปตรวจเลือด และเอ็กเรย์ที่คลีนิคพิเศษศรีพัฒน์เดี๋ยวนี้เลย เพราะผลเลือดนั้นต้องใช้เวลาตรวจกว่า 1 สัปดาห์จึงจะรู้ผล ไปเลยคลีนิคนี้เปิดถึงสองทุ่ม

แกให้ใบสั่งตรวจเลือด เขียนคำว่า HLA B27 และช่องเอ็กเรย์เขียนว่า KUB หมอสั่งยาแก้อักเสบอย่างเดียวให้ผมกิน และแถมยากระเพาะวันละเม็ด ทั้งนี้ให้นำผลเอ็กเรย์และตรวจเลือดมาภายในสองอาทิตย์

ตอนท้าย ผมถามหมอเรื่องยา หมอบอกสั้นๆ เลิกกินยาเก่าจากโรงพยาบาลพะเยา ให้หมด!!

18.50 น. คลีนิคพิเศษ ตึกศรีพัฒน์ ผมเดินเข้าไปด้วยอาการเด๋อๆด๋าๆ มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามผมถึงจุดประสงค์ ผมชี้แจงแล้วเจ้าหน้าที่ก็ขอให้ผมทำบัตรก่อน ไม่ถึงสองนาที ผมได้รับบัตรคนไข้ และมุ่งหน้าไปคลีนิคที่ชั้น 13

เมื่อไปถึงผมบอกพยาบาลว่ามาเจาะเลือดหาค่า HLAB27 พยาบาลยกหูโทรศัพย์ไปที่ไหนซักที่พร้อมบอกว่า การเจาะหาค่า HLAB27 สามารถเจาะได้ในวันเวลาราชการก่อนเวลา 10 โมงเช้าเท่านั้นเพราะเจ้าหน้าที่ๆสามารถตรวจวิเคราะห์ได้นั้นมีเพียงสองท่าน และทำงานสลับกันไป

ผมเริ่มเครียดเพราะบ้านอยู่ไกล ปรึกษากะแม่ว่าเราจะนอนที่นี่หรือกลับพะเยาดี พยาบาลแนะนำให้ไปเอ็กเรย์ก่อนเพราะยังมีเวลา ผมจ่ายตังค์ค่าฟิล์มเอ็กเรย์และมีพยาบาลพาไปที่ห้องเอ็กเรย์ในเวลาเพียงแค่ 5 นาที

ช่วงที่ลงลิฟไปเอ็กเรย์นั้น อ๊อด เพื่อนเก่าสมัยปริญญาตรีก็โทรมา เขาบอกว่าไม่ค่อยได้อวยพรวันเกิดต้าเลย ปีนี้เลยอยากอวยพร มันว่า ขอให้ผมสุขภาพดี แข็งแรง มีความสุข ความขอบอกขอบใจและเดินตามนางพยาบาลไปหน้าห้องเอ็กเรย์

ผมตลกไม่ค่อยออกกับโชคชะตาปีนี้ วันนี้ทั้งวันเพื่อนๆผมต่างก็ทยอยโทรมาสุขสันต์วันเกิด
แต่ผมก็ไม่ได้บอกเพื่อนๆเหล่านั้นหรอกว่า ตัวเองกะลังทำไรอยู่ ทุกคนคาดว่าผมก็ยังอยู่ดีมีสุขตามปกติ เพราะยังรับโทรศัพย์และพูดจาได้
ในห้องเอ็กเรย์ครั้งนี้ ผมรู้สึกกลัวบอกไม่ถูก เจ้าหน้าที่ขอเอ็กเรย์กระดูกช่วงบั้นเอวผม
ผมเริ่มวิตกกังวลขึ้น ทั้งการขอตรวจเลือดในค่าที่แปลกๆ หรือเอ็กเรย์กระดูกช่วงที่ไม่เข่า ไม่ใช่ข้อเท้าที่ปวด ผมสงสัยและกังวล

คุณหมอที่ผมไปพบนั้นเป็นระดับศาสตราจารย์ แต่ช่วงที่อยู่กะหมอ หมอไม่ค่อยอธิบายอะไรเท่าไร
บอกให้ผมมาเจาะเลือดผมก็มาเจาะ และเพราะแกไม่พูดอธิบายอะไรมากนั่นเองที่ทำให้ผมกังวล
แถมยังจินตนาการไปต่างๆนานา

เมื่อ เอ็กซ์เสร็จก็ตัดสินใจว่าคงต้องกลับพะเยาก่อน และพรุ่งนี้ผมและพี่สาวค่อยมาอีกครั้งเพิ่อเอาผลเอ็กเรย์และมาเจาะเลือด

ผมกลับถึงพะเยาเกือบเที่ยงคืน กว่าจะนอนก็ตีหนึ่ง พรุ่งนี้เจ็ดโมงเราก็ต้องออกเดินทางไปเชียงใหม่อีกรอบ

24 มีนาคม 2552
5.00 น. เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือแผดเสียงลั่น ผมงัวเงียลุกไปเอามันออกมาจากที่ชาร์ตแบต
เดินสะลึมสะลือกลับมา จำไม่ได้ว่าตัวเองหลับตาหรือลืมตา ล้มตัวลงจะนอนต่อบนเตียง
แต่รู้สึกว่าตัวเองร่วงลงมากระทบของแข็งอย่างแรง

สติกลับมาอีกครั้ง ผมพบว่าหัวเข่าด้านขวากระแทกกับพื้นอย่างแรง อาการง่วงนอนหายไปในบัดดล
เปิดไฟดูพบว่าหัวเข่าด้านข้างๆ เป็นแผลชุ่มเลือด นี่ผมคงล้มตัวลงไปเต็มที่เลยซิท่า
มานั่งหยอดยาแต่เช้า เรียกได้ว่าเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างไม่เป็นมงคลเสียเลย
(ในรูปคือบาดแผลบนหัวเข่าหลังจากผ่านไปสามวัน แผลเริ่มแห้งตกสะเก็ดแล้ว)



เราเดินทางกันออกมาเรื่อยๆ จนประมาณ 10 โมงก็ถึงโรงพยาบาลเชียงใหม่
ผมเลิกกินยาโรคเก้าท์ตั้งแต่หมอบอกเมื่อวาน เช้าวันนี้อาการก็เหมือนเดิมทั้งที่ไม่ได้กินยา

10.15 น. เชียงใหม่..
ผมรีบวิ่งขึ้นไปบนตึกชั้นที่ 13 ติดต่อนางพยาบาล เพื่อขอเจาะเลือดตามที่นัดไว้

เมื่อมาถึง พยาบาลมีสีหน้ากังวล พร้อมบอกผมว่า การเจาะเลือดเพื่อหาค่า HLAB27 คนไข้ต้องมาก่อน 10 โมงเช้า ผมดูนาฬิกา ตอนนี้ 10.25 แล้ว ผมอ้อนวอนพยาบาลว่า ผมมาจากพะเยา กรุณาให้ผมได้ตรวจเถิด

พยาบาลพูดกับโทรศัพท์ซักพัก แล้วบอกผมว่า รีบๆกันเร็ว พี่แกพาผมมาลัดคิวจ่ายตังค์ และกึ่งๆลากผมไปที่แล็บเลือด ซักพักมีเจ้าหน้าที่พาผมไปชั้นสาม เป็นแล็ปขนาดใหญ่มาก ประตูของแล็ปล็อครหัสไว้แบบดิจิตอล ต้องเคาะให้เจ้าหน้าข้างในสแกนลายนิ้วมือ ประตูจึงจะเปิดออกได้

ข้างในพบเจ้าหน้าที่รออยู่แล้ว แกให้ผมกรอกข้อมูลหลายอย่าง พร้อมทั้งบอกว่า เอ...ด่านพิทักษ์ นี่คือแซ่ด่านหรือเปล่า? เป็นไหหลำละซิท่า ผมก็ตอบว่าครับ ผมนี่เจ็กไหหลำผสมแต๊จิ๋ว
ว่าแต่ว่า ไอ้ค่าHLAB27 นี่มันอะไรกันครับ? ผมถามด้วยความอยากรู้

แกถามผมกลับว่า แล้วน้องมีอาการทาง ตา หรือ ทางข้อหละ ผมบอกผมปวดเข่าครับ

แกจึงอธิบายว่า HLAB27นั้น เป็นการตรวจชิ้นเนื้อ หรือยีนต์ในระดับเล็กมากที่อยู่ในเลือด
จุดหมายก็คือเพื่อหาว่า เรามียีนต์ตัวนี้หรือเปล่า ถ้ามีก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคที่เรียกว่า Ankylosing Spondylitis หรือในชื่อไทยว่า โรคข้อกระดูกสันหลังแข็งอักเสบและติดยึด เชื้อตัวนี้เป็นกรรมพันธุ์ที่พบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง5-10เท่า ส่วนใหญ่จะพบมากในคนจีน แถบจีนตอนใต้
คนเป็นกันเยอะ แต่ก็ถือว่าไม่นิยมเท่ากับโรครูมาตอย โรคเก้าท์

พรุ่งนี้ 10.30น. ผลเลือดก็ก็ออกแล้ว

ผมกลับบ้านที่พะเยา ในช่วงย็นๆ ฉลองที่ไดม่ได้เป็นโรคเก้าท์ด้วยซื้ออาหารอินเดียมาฝากแม่ และกินเองด้วย เมนูหลักคือ ทันดูรี่ชิคเก้นท์ ย่างอินเดีย และแกงไก่แคชเมียร์ หลังจากไม่ได้กินไก่มากว่าสองเดือน แต่อย่างไรก็ดี ไก่ก็ยังอุดมไปด้วยโคเรสเตอรอลที่ผมมีอย่างเหลือเฟือ ดังนั้นผมก็จะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว

จริงๆ สองสามวันก่อน ผมกะแม่ตัดสินใจรับข้าวปิ่นโตจากร้านอาหารเจแถวบ้านประจำรายเดือน เจ้าของร้านใจดีมาก โทรมาถามทุกเช้าว่าจะกินอะไร จริงๆวันนี้แม่ผมก็เริ่มกินอาหารเจแล้ว แต่อาหารอินเดียเป็นอะไรที่นานๆครั้ง เราก็จึงอนุโลมกันเองไม่เจ 1วัน

แต่อาหารประเภทหมูๆ ก็ยังเหลือในบ้านอยู่พอสมควร ดังนั้นบางวันก็อดไม่ได้ที่จะกินเย็นตาโฟเจ กับหมูแท้ๆยอ ไม่อยากบอกว่า เข้ากันดีทีเดียว (อามิตตาพุทธ)

26 มีนาคม 2552
วันนี้ได้นอนเต็มที่แล้ว แต่ก็ตื่นมาแต่เช้าเพราะติดที่ต้องตื่นเช้าหลายวัน
ตื่นมาเปิดประตูห้องนอนใส่หน้าตัวเอง เป็นแผลดังรูป
พี่จอยเมล์มาหานานแล้วว่า ปีนี้ของผมเป็นปีชง ชงน่าจะคือไม่ค่อยถูกกะปีวัวนี้
เพิ่งมารู้ว่า มันชงจริงๆ ทำอะไรซวยไปหมด



27 มีนาคม 2552

พรุ่งนี้เรานัดกะพี่สาวว่าจะไปหาหมอที่คลีนิค จะนำผลเอ็กเรย์กะผลเลือดให้หมอบอกไปเลยว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่เท่าที่อ่านๆข้อมูล ไม่พ้นโรคที่อยู่ในกลุ่ม Ankylosing Spondylitis หละ เพราะเมื่อวานแล็ปที่เชียงใหม่โทรมาบอกพี่สาวว่าผลเลือดเรา ค่า HLA -B27 เป็น Possitive !!

๒ ความคิดเห็น:

นายหญิงHoney กล่าวว่า...

เป็นงัยบ้างพี่ต้าร์ หวังว่าผลตรวจออกมาคงไม่ร้ายแรงมากใช่มั้ย เห็นพี่กังวลอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นงัย เชื่อว่าทุกอย่างมีทางแก้นะ ถ้าใช่โรคในกลุ่มAnkylosing Spondylitis ก็คงมีวิธีรักษาและสามารถบำบัดได้ นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว พยายามนอนบนฟูกแข็งหน่อยป้องกันหลังโก่ง การนอนหงายจะดีกว่านอนตะแคง ถ้าหากปวดมากๆ เราว่าใช้ความร้อนช่วยน่าจะดี อันนี้เดาเองน่ะ ยังงัยพี่ลองปรึกษาอาจารย์หมอดูก่อนว่าอันตรายมั้ย เพราะถ้าช่วงไหนที่เราทำงานหนักๆ ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เราจะไปซาวน่า อาการปวดเมื่อยก็จะหายไป สบายตัว หลับสบายมากเลย
อีกอย่างคือการบริหารหลัง เห็นพี่บอกว่าเริ่มหายใจขัด
โยคะน่าจะช่วยได้ เพราะเป็นการหายใจด้วยหน้าท้องและกระบังลม การหายใจแบบโยคะจะต่างจากการหายใจแบบปกติ คือ หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ การหายใจเข้าท้องพองจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่ แล้วอย่าลืมไปว่ายน้ำล่ะ เริ่มร้อนแล้ว
เราให้พี่ต้าร์เป็น guest ของเราละกัน ไปว่ายฟรีได้เลยสองครั้ง จะซาวน่าด้วยก็ได้น่ะตามสบาย

เฮ้อ...ที่เล่ามาการรับการตรวจรักษาของพี่ค่อนข้างทุลักทุเลเหมือนกันเนอะ แต่ก็เล่าความทุกข์ของตัวเองได้สนุกอีกตามเคย พี่น่าจะไปเขียนหนังสือขายได้แล้วน่ะ มีสไตล์เป็นของตัวเองดี ซึ่งความเป็นจริงมันเป็นงั้นจิงๆ รอเป็นชาติได้ตอบคำถามหมอแค่สองสามคำ
บางทีอยากถามรายละเอียด กำลังจะอ้าปาก
หมอตัดบท ประมาณว่าอย่ารู้เลยกินๆยาที่ให้ไป
เดี๋ยวก็หาย ซะงั้น กรรมจิงๆๆ
นี่เป็นเหตุผลที่เราควรอย่างยิ่งที่จะดูแลตัวเองให้ดี
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องย่างกรายเข้าใกล้โรงพยาบาท

รูปดอกหญ้าที่ประมงสวยจิงๆ ทั้งๆที่ไปอยู่บ่อยๆ ก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะสวยเลย คงมองว่ามันเป็นแค่หญ้ามั้ง ต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับดอกหญ้าซะใหม่แล้วล่ะ

แล้วอย่านั่ง up blog เพลินล่ะ ยืดเส้นยืดสายมั้ง เดี๋ยวจะปวดหลังน่ะ เหอะๆๆ อีกอย่างควรมีสติอยู่กะตัวตลอดเวลา กลัวว่าเจอกันอีกทีพี่คงไม่มีแผลไปทั้งตัวนะ

ปล.สุขสันต์วันเกิดนะพี่ต้าร์ แม้จะช้าไปแต่ก็อยากเป็นกำลังใจให้สำหรับAnkylosing Spondylitis
นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราผ่านพ้นไปได้นะ สู้ๆๆคุณผู้จัดการ
อืม...ฝากเป็นกำลังใจให้ครอบครัวพี่ด้วยละกันนะ

uk กล่าวว่า...

อยากทราบว่าตอนนี้อาการ เป็นอย่างไรบ้างค่ะ! พอดีพี่สาวก็เป็น เลยอยากได้ความรู้ เกี่ยวกับโรคนี้ ขอบคุณที่โพสมาให้อ่าน น่ะค่ะ